Monday, April 28, 2014

เรื่องเล่าจากห้องเรียน 2: The Ode To English Plurals

We'll begin with a box, and the plural is boxes,
But the plural of ox becomes oxen, not oxes.
One fowl is a goose, but two are called geese,
Yet the plural of moose should never be meese.
You may find a lone mouse or a nest full of mice,
Yet the plural of house is houses, not hice.

If the plural of man is always called men,
Why shouldn't the plural of pan be called pen?
If I speak of my foot and show you my feet,
And I give you a boot, would a pair be called beet?
If one is a tooth and a whole set are teeth,
Why shouldn't the plural of booth be called beeth?

Then one may be that, and there would be those,
Yet hat in the plural would never be hose,
And the plural of cat is cats, not cose.
We speak of a brother and also of brethren,
But though we say mother, we never say methren.
Then the masculine pronouns are he, his and him,
But imagine the feminine: she, shis and shim!

Let's face it - English is a crazy language.
There is no egg in eggplant nor ham in hamburger;
neither apple nor pine in pineapple.
English muffins weren't invented in England.
We take English for granted, but if we explore its paradoxes,
we find that quicksand can work slowly, boxing rings are square,
and a guinea pig is neither from Guinea nor is it a pig.

And why is it that writers write, but fingers don't fing,
grocers don't groce and hammers don't ham?
Doesn't it seem crazy that you can make amends but not one amend?
If you have a bunch of odds and ends and get rid of all but one of them,
what do you call it?

If teachers taught, why didn't preachers praught?
If a vegetarian eats vegetables, what does a humanitarian eat?
Sometimes I think all the folks who grew up speaking English
should be committed to an asylum for the verbally insane.

In what other language do people recite at a play and play at a recital?
We ship by truck but send cargo by ship...
We have noses that run and feet that smell.
We park in a driveway and drive in a parkway.
And how can a slim chance and a fat chance be the same,
while a wise man and a wise guy are opposites?

You have to marvel at the unique lunacy of a language
in which your house can burn up as it burns down,
in which you fill in a form by filling it out, and
in which an alarm goes off by going on.
And in closing, if Father is Pop, how come Mother's not Mop?

Thursday, April 3, 2014

เรื่องเล่าจากห้องเรียน 1: Your Coach or Your Mama?

วันนี้พี่มี presentation กลุ่มในวิชา Psychology of Leadership หรือจิตวิทยาการการเป็นผู้นำ
ซึ่งการรายงานหน้าชั้นครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Class Film Festival หรือเทศกาลภาพยนต์ของวิชานี้
สนุกดี เลยอยากจะเอามาเล่าให้น้องๆฟังกันค่า 


ก่อนอื่นเลยขอพูดคร่าวๆก่อนแล้วกันนะว่าวิชานี้เรียนอะไรบ้าง ก็เรียนตรงตัวเลยค่ะ วิชานี้ถือเป็นวิชาจิตวิทยา แต่แทนที่จะเรียนอะไรเจาะลึก ทำการทดลองต่างๆเกี่ยวกับปฏิสัมพันธ์ของคนเรา วิชานี้เขาเปิดกว้างให้นักเรียนที่ไม่มีพื้นฐานทางสาขานี้มาลงเรียนได้เลย คือเป็น applied psychology ไม่ใช่จิตวิทยาแบบเพียวๆ หนักๆ เหมือนคนที่เรียนเอกนี้เค้าเรียนกัน แต่พี่ก็มีเพื่อนๆที่เรียนจิตวิทยาหลายคนมาลงเรียนเหมือนกัน

ส่วนใหญ่ที่เรียนคือประเภทของผู้นำ อ่านบทความและงานวิจัยเกี่ยวกับการเป็นผู้นำ ประเภทของบุคคลที่แตกต่างกันและวิธีการโน้มน้าวจิตใจคน อะไรประมาณนี้ ก็จะมีทฤษฎีมาให้เรียนเยอะเหมือนกันค่ะ แล้วก็เอามาถกเถียงเปรียบเทียบกัน แต่ที่พี่ชอบมากๆคืออาจารย์ของพี่แกค่อนข้างจะแหวกแนว และอาร์ตๆนิดนึง คือจะมีกิจกรรมหรือโปรเจกต์อะไรแหวกๆมาให้ทำตลอด อย่างเช่นพรีเซนเทชั่นในวันนี้!!

 สำหรับงานที่ได้รับมอบหมายวันนี้คือนักเรียนต้องไปเลือกคลิปวิิดิโอสั้นๆจากภาพยนต์เรื่องอะไรก็ได้หรือจะหลายเรื่องประกอบกันก็ได้ แล้วพูดอธิบายว่าคลิปนี้แสดงถึงความเป็นผู้นำยังไง มีความเกี่ยวข้องอะไรกับสิ่งที่เราเรียนไป สามารถเป็นตัวอย่างอธิบายทฤษฎีไหนของนักเขียนท่านใดได้บ้าง พรีเซนต์ทั้งหมดความยาวกลุ่มละ  17 นาที รวมเวลาเปิดคลิปและตอบคำถามด้วย

กลุ่มของเลือกสองเรื่องค่ะ คือ The Blindside และ Chicken Run  ตอนแรกเลยก็คือนัดกันมาแบ่งงานก่อนว่าเธอจะทำตรงไหนยังไง คือโตๆกันแล้วเราก็แค่แบ่งงานกันไปรับผิดชอบ บอกให้ชัดเจนว่าพูดคนละกี่นาทีเสร็จแล้วต่างคนก็ต่างเตรียมตัวในส่วนของตัวเองก่อนจะมาพรีเซนต์ด้วยกัน  เราได้รับมอบหมายงานและอาจารย์ก็จับกลุ่มให้ในห้องเรียนตอนวันจันทร์และพรีเซนต์วันพฤหัส เวลามีน้อยและไม่ค่อยว่างกันเท่าไหร่ ก็เลยไม่มีเวลามาเจอกันเตี๊ยมกันก่อนพรีเซนท์ แต่ก็โอเคค่ะ ทุกคนเตรียมของตัวเองมาบ้าง อย่างน้อยก็รู้ว่าตัวเองต้องพูดตอนไหน


สำหรับตัวพี่และเพื่อนอีกคนนึงนั้นรับผิดชอบในส่วนของภาพยนต์เรื่องแรก The Blind Side มาดูคลิปกันก่อนเลยค่ะ :)

 

ดูแล้วเป็นยังไงกันบ้าง ฟังทันไหมคะ 5555 ฟังยากนิดนึงนะเพราะว่าอันนี้เป็นสำเนียงอเมริกันของคนทางใต้ของประเทศค่ะ เค้าจะมีสำเนียงเป็นของตัวเอง

พอเปิดคลิปให้เพื่อนดูเสร็จแล้วเราก็เริ่มพูดอธิบายถึงทฤษฎีรวมทั้งตั้งคำถามให้เพื่อนๆในห้องที่เป็นคนฟังช่วยกันตอบ เสนอความคิดเห็น


Why Good Bosses Tune In To Their People - Robert Sutton เป็นบทความที่พี่และเพื่อนอีกคนเลือกที่จะมาใช้เป็นพื้นฐานในการวิเคราะห์คลิปนี้ค่ะ โดยหนึ่งในสิ่งที่สำคัญเกี่ยวกับการเป็นผู้นำคือต้องแสดงความมั่นใจให้ผู้ตามได้รับรู้เพื่อให้ผู้ตามเกิดแรงบันดาลใจ เราก็ถามเพื่อนๆว่า ตัวละครผู้หญิงคนนี้แสดงออกอย่างไรว่าเธอมีความมั่นใจ

ส่วนที่เหลือก็มีวิธีการค้ายๆกันค่ะ คือมีคำถามให้เพื่อนๆในห้องได้ตอบ มี quote จากบทความ แล้วแต่ละสไลด์เราก็พูดสรุปว่าในคลิปมันเกี่ยวข้องกับ quote ที่เลือกมายังไง





จากใน slides ก็จะเป็นว่าเขียนน้อยมากๆค่ะ ทั้งหมดนี่คือพูดไปประมาณเกือบๆสิบนาทีสองคน  presentation ที่ดีคือไม่ใช่ว่ามีทุกอย่างบน slides ถ้าทุกอย่างมันเขียนมาหมดแล้ว แล้วคนจะฟังเราพูดทำไม เค้าก็อ่านเอาเองไม่เร็วกว่าหรอ? จริงไหมคะ? เพราะฉะนั้นเวลาใส่เนื้อหาอะไรใน slide ให้ใส่สิ่งที่สำคัญจริงๆ หรือสิ่งที่คนฟังจะมองหา เช่น quotes หรือคำถาม บางทีถามไปแล้วเพื่อนลืมว่าถามว่าอะไร เค้าก็จะได้อ่านดูได้เลย quote ก็สำคัญเพราะว่าเค้าจะได้อ่านอีกรอบเพื่อคิดกลับไปว่าทฤษฎีนี้เกี่ยวกับในคลิปยังไง คือทำให้คนฟังเข้าใจเรามากข้น คิดไปพร้อมๆกัน

วันนี้ก็รายงานไปสามกลุ่มค่ะ เพื่อนๆกลุ่มอื่นก็เลือกคลิปจากภาพยนต์เช่น Harry Potter, Mulan, The Wolf of Wallstreet, Miracle เป็นต้น เรียกได้ว่าเลือกหนังอะไรก็ได้มาพรีเซนต์ เพียงแต่เราต้องเข้าใจเนื้อหามากพอที่จะโยงคลิปนั้นๆให้เข้ากับสิ่งที่เราได้เรียนรู้ไป :)

หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับน้องๆนะค้าาาา วันหลังจะมาเล่าให้ฟังกันใหม่ ชอบไม่ชอบยังไงช่วยเมนต์บอกด้วยค่าาา มีข้อสงสัยอะไรก็ถามพี่ได้ตลอดนะคะ ก่อนจะจากกันไปพี่ก็มีเคล็ดลับในการ present งานมาฝากกันด้วยจ้าาาา!

รู้หรือไม่??
- Power Point ของเด็กอเมริกันส่วนใหญ่ไม่สวยไม่เลิศเลออะไร แต่เน้นที่การพรีเซนท์และเนื้อหาจริงๆ คือต้อง  engaging เพื่อนฟังรู้เรื่อง เข้าใจ มีการให้คนฟังได้มีส่วนร่วม แต่ถ้าใครทำมาได้สวยๆ ก็เป็นเรื่องดีค่ะ แต่อาจารย์เค้าไม่มีคะแนนสไลด์สวยให้หรอก
- ควรแต่งตัวให้ดูดีนิดหนึ่งเวลามีพรีเซนท์งาน ไม่ต้องถึงกับใส่สูท แต่ถ้าปกติใส่เสื้อยืด เสื้อมีฮูด กับกางเกงยีนส์ วันพรีเซนท์งานก็อาจจะใส่กางเกงสีดำกับเสื้อเชิ๊ต หรือใส่เดรสน่ารักๆก็ได้
- ควรฝึกซ้อมก่อนพรีเซนท์จริง ถ้าเพื่อนไม่ซ้อมด้วยก็ไม่เป็นไร เราก็ซ้อมแค่ในส่วนของเรา จะได้คล่องปาก ที่สำคัญคือจับเวลาด้วยเพราะเราก็ไม่อยากพูดเกินในส่วนของเรา อาจารย์บางคนโหดมาก พูดเกินที่กำหนดไว้นาทีเดียว หรือขาดไปนาทีเดียวก็ตัดคะแนนเพราะเค้าถือว่าเราไม่ซ้อมหรือเตรียมมาก่อน
- ควรมี note card จดรายละเอียดสิ่งที่จะพูดเอาไว้เล็กๆน้อยๆ อย่าเขียนเป็นประโยคว่าจะพูดอะไรบ้าง ไม่ควรเอากระดาษเอสี่ไปยืนอ่าน มันน่าเกลียดมาก
- พยายามพูดกับคนฟัง ไม่ใช่กับอาจารย์คนเดียว
- EYE CONTACT มองตาเธอออออออออ คนฟังจะได้รู้สึกว่าเราพูดกับเค้าจริงๆ
- พูดเสียงดังฟังชัดเจนแต่อย่าตะโกน เอาแค่ให้แน่ใจว่าคนที่นั่งหลังสุดฟังได้เข้าใจไม่มีปัญหา
- ถ้าตกใจ นึกคำไม่ออก ให้หยุดคิดแล้วทำหน้าเครียดๆ 555 ประสานสายตาเพื่อนเอาไว้ อย่าทำหน้าลอกแลกหรือพูดคำที่ใช้พูดส่งๆฆ่าเวลา เช่น uhh ahhhhh likee... i dont knoww.. you know... มันจะเหมือนว่าเราไม่ได้เตรียมตัวมา

by Zeem 
มาคุยกัน แชร์ความคิดเห็น และติดตามผลงานได้นะคะ
 
Facebook : Dek Thai Klai Baan เด็กไทยไกลบ้าน
Blog  http://dekthaiklaibaan.blogspot.com/
YouTube : https://www.youtube.com/user/dekthaiklaibaan

Email: dekthaiklaibaan@gmail.com
Line: dekthaiklaibaan

Friday, February 21, 2014

Danish: เรียนภาษาพร้อมกับซีม Day 6-15



สรุปใจความจากในวิดิโอ

  • พักการเรียนบ้าง อย่างถ้าอ่านทุกวันก็ลองหยุดสักวันสองวัน จะได้รู้ว่าที่เรียนไปทั้งหมดมันซึบซับไปหรือเปล่า ต้องอ่านตรงไหนเพิ่มไหม
  • เจอเว็บเรียนภาษาแห่งใหม่จ้าาาา คราวนี้มีภาษาเดนมาร์กด้วยนะ http://www.babbel.com ค่อนข้างดีเลยเพราะว่ามีให้เราพูดด้วย มีหลายภาษาให้เลือก ลองไปดูกันได้นะคะ รายละเอียดค่าสมัครสมาชิกสามารถดูได้ในวิดิโอ ตอนนี้เค้ามีบริการ free trial ให้ลองใช้งานดูได้ด้วยค่ะ












by Zeem 
มาคุยกัน แชร์ความคิดเห็น และติดตามผลงานได้นะคะ
 
Facebook : Dek Thai Klai Baan เด็กไทยไกลบ้าน
Blog  http://dekthaiklaibaan.blogspot.com/
YouTube : https://www.youtube.com/user/dekthaiklaibaan

Email: dekthaiklaibaan@gmail.com
Line: dekthaiklaibaan

Wednesday, February 19, 2014

How Did You Go To Study Abroad ? ไปเรียนเมืองนอกได้ยังไง

So many Thai students have asked me this question...
Guys, let's make it clear. I am NOT answering this question for 10000000000 more times
That is why I am writing this blog! I am also doing it in both Thai and English so I can be sure that all of you understand everything!
make it clear = ทำให้มันชัดเจน

น้องๆหลายคนมากๆๆๆๆถามคำถามนี้กับพี่ เช่นเคยคือชั้นตอบหลายครั้งหลายหนจนเหนื่อย เลยคิดจะเขียนบลอกและทำวิดิโอเพื่อตอบคำถามไปเลยทีเดียว จะอธิบายเป็นสองภาษาทั้งไทยและอังกฤษนะคะ จะได้มั่นใจว่าทุกคนอ่านเข้าใจ ถ้าน้องๆคนไหนอยากฝึกภาษาก็อ่านเฉพาะอังกฤษก็ได้จ้า

Basically, my study abroad journey can be divided into 3 event
1. When I was an AFS exchange student in Wisconsin, USA
2. When I came back for college in Iowa, USA
3. When I decided to study aboard-aboard in Copenhagen, Denmark

Here is a video that I explained everything to you in person!
I am also going to write a short summery of the video, so that you can practice your reading and comprehension skills! So watch the video later if you want to practice English!
explain (v.) = อธิบาย
summary (n.) = สรุป
Comprehension (n.) = ความเข้าใจ
practice (v.) = ฝึก



1. When I was an AFS exchange student in Wisconsin, USA

Like how most Thai HS students first go to the US, I was an exchange student in 2009-10 through AFS. I received a special scholarship called the Kennedy-Lugae Youth Exchange and Study (YES) program.  This scholarship is entirely free. IT started after 9/11 to build positive relationship between the US and other Muslim countries around the world!

During that year, I had a chance to visit my current college. My uncle recommended me to do so and my host mom was nice enough to drive me all the way from Wisconsin to Iowa. I decided to apply and I got in!

2. When I came back for college in Iowa, USA
So I came back to the US to get my undergrad education at a small liberal arts college in Iowa. I am now studying anthropology with a concentration on global development studies! I love what I am studying and hope that I will be able to go home to work in development field after I graduate!
'
Another frequently asked question is whether I came to America on my own or with a scholarship. I ahve to say that it's both. My college have this admission policy called 'need blind admission,' which means that they take a look at your profile and let you in regardless of your financial background. Once you are qualified to be their student then they will give you some kind of financial aid assistance. In my case, I received international grant, which basically is a 50% discount on my tuition. Additionally, I also got work study, which means that you work for the college and they will either pay you or you can the money straight to the school to pay for your tuition. Basically, some parts of my tuition is covered by the school, while parents and relatives take care of the rest.

อีกอย่างที่ถามกันเข้ามาเยอะมากๆ คือเรื่องของทุน ว่าพี่จ่ายเองหรือได้ทุนไปเรียน ขอตอบว่าทั้งสองอย่างค่ะ ทางมหาลัยของพี่มีนโยบายที่เรียกว่า 'need blind admission'   คือเค้าจะดูคุณสมบัติของเราก่อนว่าสมควรจะได้มาเรียนที่นี่ไหม ถ้าเค้ารับเราเป็นนักเรียนแล้วเค้าถึงจะมาดูว่าเรามีกำลังทรัพย์ที่จะเรียนอีกหรือเปล่า ซึ่งแน่นอนว่าในกรณีของพี่นั้นที่บ้านไม่ได้มีเงินเยอะ ที่ก็เลยได้เป็นทุน international grant จากทางมหาลัย มันจะคล้ายๆกับการลดค่าเทอมให้เหลือครึ่งนึง แต่ส่วนนึงก็คือพี่ต้องทำงานในมหาลัยด้วย แล้วก็จะเลือกได้ว่าเงินที่ได้นั้นจะเอาเข้ากระเป๋าตัวเองหรือโอนเข้าโรงเรียนเพื่อจ่ายค่าเทอมไปทีละนิด  สรุปก็คือได้ทุนจากทางมหาลัยส่วนหนึ่งแล้วที่เหลือคุณพ่อคุณแม่และญาติช่วยกันออกค่ะ

3. When I decided to study aboard-aboard in Copenhagen, Denmark

You can read more about this on my last blog!


by Zeem 
AFS#48 YES#4 ทุนมุสลิม USA
มาคุยกัน แชร์ความคิดเห็น และติดตามผลงานได้นะคะ
 
Facebook : Dek Thai Klai Baan เด็กไทยไกลบ้าน
Blog  http://dekthaiklaibaan.blogspot.com/
YouTube : https://www.youtube.com/user/dekthaiklaibaan

Email: dekthaiklaibaan@gmail.com
Line: dekthaiklaibaan

Tuesday, February 11, 2014

My 10 First Impressions About Denmark

So I have been here in Denmark for about 3 weeks now!
Time indeed flies faster than you want it to when you are in such a beautiful country like this!
I thought that it would be a great idea to share my thoughts/ first impressions about this country since I stepped out of the airport with you guys!

Time flies = เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
first impression (n.) = ความประทัปใจครั้งแรก
thought (n.) = ความคิด อ่านว่า ต๊อดท์

1. The Public Transportation here is AMAZING

I first arrived in Copenhagen on a Sunday night. The next morning I had to go to my university's opening ceremony in downtown Copenhagen BY MYSELF. Well, let me tell yah this. I live with a host family in Birkerod, which is north of Copenhagen. It takes me about an hour everyday to go to Copenhagen by bus and train. I was totally afraid that I was going to get lost, but I made it to Copenhagen safely. Thanks to the amazing transportation system!

What's so amazing about it? It's that the trains & buses actually run on schedule!!!!
This would never ever ever EVER happen in Thailand in a million years! In Denmark, you can get a schedule for any public transportation at the train station or at 7-11. Each bus line has its own schedule and it comes and goes relatively on time. I'm talking about +/- 5 minutes from the actual schedule!

Another really cool thing is that they kind of coordinate different modes of transportations in the system! So when I get off my bus at the train station, I only have to wait for about 10 mins for my train to come! It might not seem to be a big deal to you, but in a cold place like Northern Europe, not having to wait for the bus/train forever really improves your overall experience! You also use the same pass/ ticket for the bus, train, and metro. I think this is similar to what they have in New York City.
I totally LOVE it!!

Transportation (n.) = ยานพาหนะ
Public transportation (n.) = ขนส่งมวลชน
Opening ceremony (n.) = พิธีเปิด
Schedule (n., v.) = ตารางเวลา, ทำตารางเวลา อ่านว่า สะ-เก๊-ดูล
Relatively (adv.) = ค่อนข้าง
Coordinate (v.) = ทำงานไปพร้อมกัน ประสานกัน อ่านอ่าน โค-ออร์-ดิ-เหนด
System (n.) = ระบบ
Improve (v.) = พัฒนา
overall (adj.) = ทั้งหมด
similar (adj.) = คล้ายคลึง

S-Train at Copenhagen Central Station
2. Danes are quiet

Okay, this just sounds like I am making an assumption here. Of course, not all Danes are quiet. However, I do think that they are generally quieter than Americans, especially in public spaces. My first time on the train was so nice and calming because everyone was just minding their own business whether that's reading today's newspaper, playing a new game on their mobile devices or just napping.
My professor from Danish language class explained that it is because Danes do not like to encroach upon (v. รุกล้ำ) each other's space.... hmm I guess that makes sense.

Dane/ Danes (n.) =  ชาวเดนมาร์ก คนเดนมาร์ก
Assumption (n.) = สมมติฐาน
Especially (adj.) = โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
Mind your own business = สนใจแต่เรื่องของตัวเอง ไม่ยุ่งกับคนอื่น
Nap (v.) = งีบหลับ
explain (v.) = อธิบาย
Encroach (v.) = ละเมิดสิทธิ
Space (n.) = พื้นที่

3. The WIND is killing mehhhhh!!

Guys, seriously! The wind here is really crazy! It made the situation in winter much much worse than what I have anticipated. I have been to Chicago AKA the windy city of America, but it was nothing like Denmark! I think part of the deal is because Denmark is consisted of several islands and Copenhagen is basically right next to the sea. Also, there are not that many tall buildings here in Copenhagen at all. So I guess the wind is just able to blow freely anywhere without any physical block.

Before coming to Copenhagen, I was in Wisconsin while they were having one of the coldest winter in decades. Regardless of my past experience, I felt colder here in Denmark. Why? Because the wind just goes through every layers that you piled on your body. It is quite fascinating to see how much of a difference it makes. I guess that is part of the reason why everyone here love BIG BIG SCARF!

situation (n.) = สถานการณ์
Anticipate (v.) = คาดหวัง คาดการณ์
AKA = Also known as = หรือที่รู้จักกันในนาม.....
decade (n.) = ศตวรรต
regardless = โดยไม่คำนึงถึง, ทั้งๆที่
experience (n.) = ประสบการณ์
pile (v.) = กอง
fascinating (adj.) = น่าหลงใหล จับตา




4. It's cold outside and it's still cold inside... It's just cold everywhere... Orz

I don't really mind cold weather as long as I know that I can go inside and be warm as quickly as I can.
Well, ladies and gentlemen, that is not the case in Denmark..... unfortunately.

According to my professor (yes, the same one as above), Danes LOVE fresh air.
What does that really mean? Well, it means that they like to open their windows in the house or in the restroom even when it's 0c outside! You know,  just to let the air goes through the house. My Danish professor also occasionally open the classroom windows during breaks just to get some fresh air. It is so crazy that I even once saw someone opened the small window on the train!!!!!! That was totally one of my cultural shock moments!

In the US, it is cold. In some parts of the country, it might be even colder than Denmark. However, once you are inside, you are good. You will be nice and warm and cozy and there's no need to keep your 5 layers on. I think the typical indoor temperature is about 75F or 24C in Winter. So even though it's -30 with windchill outside, you can practically come home and put on your shorts! Well, not in Denmark though...

mind (v.) = รังเกียจ
weather (n.) = สภาพอากาศ
unfortunately = น่าเสียดาย โชคไม่ดี
according to ... = ตามที่ ...
layer (n.) = เลเยอร์ คือเป็นชั้นๆ ในที่นี้หมายถึงการใส้เสื้อหลายชั้น
typical (adj.) = ทั่วๆไป
practically (adv.) = ในเชิงปฏิบัติ



5. Bikes...bikes... BIKES EVERYWHERE!

Copenhagen, bike heaven for cyclists.... yeah yeah yeah I have heard about that, but it was NOTHING compared to the number of bikes I see everyday on the street. I totally did not see this coming! All Danes literally own a bike. Like everyone has one even though they might not use it as their main mode of transportation. The biking culture is so amazing that foreigners who want to bike in Copenhagen even have to learn their biking body language, like how do you make a gesture that indicates other bikers that you are about to stop/ turn so that you won't cause a massive bike accident.

The biking lanes here are really amazing and everyone seems to respect that space. This allows Danes to bike in any weather condition. I was extremely surprised to see a lot of people still biking on the road while they have a relatively thick layer of snows on the ground. Apparently the city also made it a priority to shovel the snow on bike lanes first because biking is such an important mode of transportation for so many people. I was really impressed!

heaven (n.) = สวรรค์
cyclist (n.) = นักปั่นจักรยาน
hear (v.) = ได้ยิน
literally (adv.) = อย่างแท้จริง
culture (n.) = วัฒนธรรม
foreigner (n.) = ชาวต่างชาติ
gesture (n.) = การแสดงท่าทาง อิรอยาบถ
indicate (v.) = ชี้ให้เก็นถึง แสดงให้เห้น
massive (adj.) = ใหญ่
lane (n.) = เลนเหมือนเลนรถวิ่ง
respect (v.) = ให้เกียรติ
apparently = ชัดเจน  ทนโท่
priority (n.) = สิทธิพิเศษ มาก่อน สิ่งที่ได้รับความสนใจมากกว่า
shovel (v.) = โกยหิมะ
important (adj.) = สำคัญ
impress (v.) = ประทัปใจ








6. There are sooo many kinds of bikes

Generally, when you think of bikes, what comes into your mind?
Two wheels with a thin handle and maybe a small basket right in front?
Yeah... that's what I thought!!

Well, it is also common in Denmark to get a cargo bike instead of getting a car!
So what happen when you have small children? Well, this cuteness happen!





How about three generation cuteness? :D



7. Danish pastries... you are giving me diabetes!!

Danish pastries are sooooooooo yummy! I am a dessert junkie and I absolutely love every single bakery that I have visited. Well, in Copenhagen, there are a LOT of bakeries. I think that it might even be possible for me to go to a different bakery everyday within 3 months. The most amazing part is that you will never get disappointed. It's not like you have to go to Yelp or TripAdviser to check out which bakery in town is good, pretty much all of them are good lol I guess a smart thing to do is probably to ask the seller for recommendations.. like what's their most popular pastries and just try that!

Seriously, bakeries are EVERYWHERE and I have been eating the pastries non-stop. I do not regret eating so much, but I do regret spending so much money on it! These little delicacies are quite pricey if you converted in to Dollars, even more expensive if you converted the price to Baht. For one little pastry e.g. a croissant or a cinnamon bun, it would cost you about 7-15 Danish Kroner. That is about $1.5-$3 for a three bite size dessert. Now if you want to eat it with a cup of coffee, then you have to pay maybe 15-30 in addition to that. So I guess you can imagine how quickly all these costs can pile up if you are not watching your budget....

diabetes (n.) = โรคเบาหวาน
dessert (n.) = ของหวาน
disappoint (v.) = ผิดหวัง
smart (adj.) = ฉลาด
probably = น่าจะเป็นไปได้
recommendation (n.) = คำแนะนำ
popular (adj.) = เป็นที่นิยม
regret (v.) = เสียใจ ผิดหวัง
spend (v.) = ใช้ (เงินหรือเวลา)
delicacy (n.) = ความละเอียดอ่อน อาหารราคาแพง
pricey (adj.) = แพง = expensive
convert (v.) = เปลี่ยนเป็น แปลงหน่อยวัด ในที่นี้คือเปลี่ยนจากเงินโครนมาเป้นดลล่า มาเป็นเงินบาท
in addition to = นอกจากนั้น ยิ่งไปกว่านั้น
guess = เดา
imagine (v.) = จินตนาการ
cost (n., v.) = ราคา มีมูลค่า มีราคาแพง
budget (n.) = งบประมาณ






8. 7-11 It's everywhere!

And they sell pastries and train tickets there as well!!!
ticket = ตั๋ว

9. No one really talks about the royal family



Coming from a country with parliamentary constitutional monarchy, I expected Danes to talk about the royal family a lot, just like how it is in Thailand. The situation seems to be quite different here. The royal family is more of a symbol in the society and you don't really hear about them from the Danes, but you do see them on newspapers or tabloid occasionally. I thought that was really interesting. I am still confused about the role of monarchy in such an egalitarian society.

royal (aj.) = กก. ราชวงศ์
parliament (n.) = รัฐสภา
expect (v.)  = คาดหวัง
symbol (n.) = สัญลักษณ์
society (n.) = สังคม
tabloid (n.) = แทบลอยด์
monarchy (n.) = การปกครองโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
egalitarian (adj.) =  กก. ความเสมอภาคอย่างเท่าเทียมกัน

10. The Welfare State: everyone is equal and should have equal access to basic needs

I guess I have to admit that I did not know much about Denmark before I came here.
I intentionally did not do any research on the country because I want to learn everything HERE on the ground, with my fellow students from America, and from Danes. So I did not want to come with pre-assumptions of how things should work here.  Well, I have heard about the welfare model, of course. It is one of the basic thing that sets Denmark apart. However, I did not know how it actually works and I was completely surprised when I found out!

So basically, the idea is that the government plays a crucial role in the protection of economic and social welfare of its citizens. In Denmark, that means you get free education up until master degree, get free healthcare, and also you get money from the government if you are unemployed! How could they do that? Well, those who work has to pay a very high rate of income tax to the government. Denmark actually rank among the top on the world personal income taxes list. I can't remember the exact number, but I think it is something like 40-60% of what you make!

The most surprising thing for me is that I also get the same (or quite similar) benefits as the Danes! Since I will be here for several months as a student, I got a temporary resident permit as well as a healthcare card! So if I get sick, everything is covered by the Danish government!!! This is soooo amazing! I seriously cannot wrap my mind around it! Free healthcare anywhere anytime? oh yes!

welfare state (n.) =  ระบบสวัสดิการต่างๆที่รัฐมีให้ประชาชน
equal (adj.) = เท่าเทียม
basic needs (n.) = ความต้องการขั้นพื้นฐาน
admit (v.) = ยอมรับ
pre-assumtion (n.) = สมมติฐานที่คิดมาก่อนแล้ว
government (n.) = รัฐบาล
tax (n.) = ภาษี
income tax (n.) = ภาษีรายได้
rank (v.) = จัดอับดับ
exact = เป๊ะๆ
benefit (n., v.) = ผลประโยชน์ ได้รับประโยชน์
temporary (adj.) = ชั่วคราว
residence (n.) = การอยู่อาศัย
permit (n.) = ในอนุญาติ
healthcare (n.) = ประกันสุขภาพ


by Zeem 
มาคุยกัน แชร์ความคิดเห็น และติดตามผลงานได้นะคะ
 
Facebook : Dek Thai Klai Baan เด็กไทยไกลบ้าน
Blog  http://dekthaiklaibaan.blogspot.com/
YouTube : https://www.youtube.com/user/dekthaiklaibaan

Email: dekthaiklaibaan@gmail.com
Line: dekthaiklaibaan